5 tips to build rapport
“5 Tips ของการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี และการสร้างความประทับใจกับเพื่อนร่วมงานมีอะไรกันบ้าง” ขอเชิญชวนผู้อ่านทุกท่าน ติดตามในบทความดี ๆ นี้ได้เลยนะคะ 1 Speaking with a smile การเริ่มพูดด้วยรอยยิ้มและการสบตาที่จริงใจ โดยให้กลับมาที่ภาษากาย Body language ยิ้มด้วยมุมปากเล็กน้อย พร้อมที่จะช่วยให้เราสื่อสารกับคนอื่นอย่างเป็นมิตรได้ง่าย 2 Be friendly การสร้างมิตรภาพที่ดีด้วยการทักทาย เช่น Hi, Hay, Good Morning, How are you, How are you today, How was your weekend? หรือเราสามารถที่จะเตรียมประโยคที่จะสื่อสารไว้ได้ อย่างเช่น การมาทำงานในวันจันทร์อาจจะกล่าวทักทายเพื่อนว่า Hi Good Morning How was your weekend? วันเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมาไปทำอะไรมาบ้าง หรือกลางสัปดาห์อาจจะกล่าวทักทายเพื่อนว่า Are you […]
Tone of voice
จากบทความการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพคืออะไร ของ Dr. Albert Mehrabian (1967) พบว่าการสื่อสารด้วยน้ำเสียง (Tone of voice) เป็นการแสดงออกถึงอารมณ์ที่มาจากน้ำเสียง การใช้เสียง ไม่ว่าจะเป็นการทอดเสียงเร็วช้า การพูดเร็วสั้น กระชับ การทำเสียงสูงต่ำ การยืดระยะเสียง เป็นสไตล์ที่เราสามารถที่จะเรียนรู้และฝึกได้จากการที่ฟังคนพูดภาษาอังกฤษเยอะ ๆ อยากที่จะลองเชิญชวนนัก HR ได้ลองฝึก Tone of voice ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่จะต้องได้ใช้ภาษาอังกฤษ เพื่อสื่อสารกับเพื่อร่วมงานที่เป็นชาวต่างชาติ ยกตัวอย่างเช่น
Body language
“สิ่งที่สำคัญที่สุดของการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพคืออะไร” จากงานวิจัยของ Dr. Albert Mehrabian (1967) ที่ได้ทำการศึกษาเรื่องของการสื่อสารของมนุษย์ โดยเฉพาะการสื่อสารที่เป็นแบบ face to face comunication ซึ่งได้มีการแบ่งหมวดหมู่ของการสื่อสารไว้ 3หมวดหลัก ๆ ที่เรียกว่า Mehrabian Model ที่ให้ค่าน้ำหนักแตกต่างกันในแต่ละส่วน ส่วนที่หนึ่ง การสื่อสารด้วยภาษากาย (Body language) คิดเป็น 55% ส่วนที่สอง การสื่อสารด้วยน้ำเสียง (Tone of voice) คิดเป็น 38% ส่วนที่สาม การสื่อสารด้วยคำพูด (Words) คิดเป็น 7% โดยจะเห็นได้ว่าการสื่อสารที่สำคัญที่สุด คือ การสื่อสารภาษากาย หรือ (Body language) ถึงแม้ว่าเราพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ไม่รู้คำศัพท์ เรียงประโยคไม่ถูกก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ส่วนการสื่อสารที่รองลงมาคือน้ำเสียง หรือ (Tone of […]
Language learning habits
ในบทความนี้เราจะมาพูดถึงวิธีการสร้างการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ จาก 8 ลักษณะนิสัยของคนที่พูดภาษาอังกฤษคล่องแคล่วที่เราสามารถหยิบยกลักษณะนิสัยมา 1-2 อย่างได้ เพื่อให้ตนเองได้ลองฝึกว่าตนเองอยากที่จะฝึกในลักษณะนิสัยใดได้บ้าง แต่มีสิ่งที่สำคัญและน่าสนใจสำหรับการฝึกภาษาอังกฤษ คือ การที่เราฝึกทักษะอะไรก็ตามใหม่ ๆ เพียง 1% ทุก ๆ วันผ่านไป 365 วันหรือหนึ่งปี ตัวเราเองจะเก่งขึ้นได้ถึง 38% จะเห็นได้ว่าการฝึกภาษาอังกฤษไม่ใช่เรื่องการแก้โจทย์สมการเหมือนวิชาคณิตศาสตร์ แต่คือเรื่องของการฝึกประสบการณ์และการมีคำคลังศัพท์ ประสบการณ์เสียงจากการฟังที่ให้ตนเองฝึกทีละเล็กทีละน้อย ๆ แต่ควรที่จะต้องฝึกบ่อย ๆ เมื่อเรารู้แล้วว่าฝึกวันละเพียง 1% หรือแม้แต่พูดภาษาอังกฤษแค่วันละหนึ่งประโยคผ่านไปหนึ่งปีจะทำให้เราจะเก่งขึ้นถึง 37 เท่า การวางแผนการเรียนภาษาอังกฤษที่ดี คือ เราต้องกำหนดเวลาเรียนให้ชัดเจนที่เราจะสามารถทำได้ทุกวันอย่างน้อยวันละหนึ่งครั้งหรือมากกว่านั้นก็ได้ หรือให้เราผูกการฝึกภาษาอังกฤษกับกิจกรรมในชีวิตประจำวันของเรา ยกตัวอย่างเช่น โดยจุดเริ่มต้นในการฝึกษาภาษาอังกฤษเราควรที่จะเริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งเราเรียกว่าเป็นการตั้งเป้าหมายเล็ก ๆ ในการฝึกภาษาอังกฤษ สิ่งเหล่านี้จะทำให้เรามีแรงกระตุ้นในการฝึกภาษาอังกฤษมากขึ้นและสำหรับนัก HR ซึ่งเป็นคนทำงานที่มีเวลาจำกัดในแต่ละวันสามารถนำภาษาอังกฤษเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันสำหรับตนเองได้ เพื่อให้เกิดความก้าวหน้าในบทบาทหน้าที่ของตนเองมากขึ้น และเป็นตัวอย่างให้นัก HR […]
8 Habits to fluent in english
“8 ลักษณะนิสัยของคนที่พูดภาษาอังกฤษได้อย่างน่าประทับใจของคนไทยมีอะไรกันบ้าง” เชิญชวนผู้อ่านทุกท่านติดตามในบทความนี้ได้เลยคะ โดยในลักษณะนิสัยของคนไทยที่จะพูดภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่ว มีดังนี้ การหาโอกาสในการใช้อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งภาษาเป็นทักษะอย่างหนึ่งที่จะต้องใช้อย่างสม่ำเสมอ และการฝึกพูดภาษาอังกฤษกับชาวต่างชาติในทุก ๆ วัน ให้คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ 10%, 20%
4 Learning styles
“การเป็นนัก HR ที่ดี ควรที่จะสื่อสารภาษาอังกฤษอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ?” ในบทความนี้ เป็นบทความที่จะกล่าวถึงการสื่อสารภาษาอังกฤษอย่างไรให้มีประสิทธิภาพหรือที่เราเรียกว่า VARK ซึ่งจะมี 4 รูปแบบในการเรียนรู้ ตามลักษณะนิสัยพื้นฐานการเรียนรู้ของแต่ละบุคคล โดยแบ่งออกได้ ดังนี้ จาก 4 รูปแบบในการเรียนรู้เราจะพบว่าเมื่อเราทราบถึงสไตล์การเรียนรู้ของตนเอง แล้วก็จะทำให้เราได้พบถึงการฝึกภาษาอังกฤษได้ง่ายขึ้นนั้นเองว่าเราจะต้องใช้รูปแบบการฝึกแบบใด เพื่อที่จะให้เราจำได้และก็เข้าใจได้ง่ายขึ้น ซึ่งการเรียนรู้เหล่านี้ก็จะติดตัวเราไปตลอด และที่สำคัญสไตล์การเรียนรู้ที่กล่าวมาข้างต้นนั้นทุกคนมีความสามารถในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษได้ทั้ง 4 รูปแบบการเรียนรู้แบบผสมผสานด้วยกันได้เสมอ